ทำไม่ลดน้ำหนักแล้วถึงโยโย่ เอฟเฟคได้

 



ทำไมถึงกลับมาโยโย่จากการที่เราลดน้ำหนักลงไปได้แล้วนั้น !!!  เพราะการที่เราสามารถลดน้ำหนักลงไปได้แล้วนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด เช่นลดลงไปได้แล้ว 10 กก. บอกเลยมันง่ายมากๆกับคนที่ยังไม่เคยลดน้ำหนักมาก่อนในชีวิต?? แล้วเมื่อลดลงไปแล้ว 93% ต้องกลับมาอ้วนอีก.เฮ้ย!!!นี่มันมายากลหรือป่าวฟ่ะ!!!กลับมาอย่างเร็วที่เดียวตั้งตัวไม่ทันเลยบางทีเยอะกว่าเดิมอีกแบบว่ายิิ้งลงเร็วยิ้งกลับมาเร็วกว่าเช่นลงไป10กก.ขึ้นมา12+ กก. ป๊าดด.ทำไมนั่นสิทุกคนเคยสงสัยไช่ม่ะ แต่เปิ้ลรู้แล้วตอนนี้เพราะอะไรนะหรือก็เพราะเคยลดน้ำหนักลงได้ไปแล้วถึง 20 กก.โอ้มายก๊อตและแล้วมันก็กลับมาอีกแถมอ้วนกว่าเดิมอีกอ่า เปิ้ลจึงศึกษาหาข้อมูลอย่างจริงจังเพราะไม่อยากอ้วนอีกต่อไปตลอดชีวิตนี้ นี่จึงเป็นที่มาของการทำบล็อกนี้ คือ healthy มีเป้าหมาย เรามาดูสาเหตุหลักที่ทำไห้เกิดโยโย่กันดีกว่า

สาเหตุของการเกิด YoYo Effect (โยโย่ เอฟเฟค)

ยาลดน้ำหนัก ทำลายการเผาผลาญ
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโยโย่ขึ้น เพราะว่าเวลาที่เราทานยาลดน้ำหนัก ด้วยผลต่อระบบประสาทจะทำให้เราทานอาหารน้อยลงมากๆ เมื่อเราทานอาหารน้อยลงเราได้พลังงานน้อยลง ร่างกายเราจะไปดึงพลังงานจากไขมันที่สะสมในร่างกายเรามาใช้ น้ำหนักตัวจึงลดลง แต่การที่เราทานอาหารน้อยลงจะทำให้เราขาดสารอาหาร(โดยเฉพาะโปรตีน) ผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็คือน้ำหนักของเราที่ลดลงได้ นอกจากเกิดจากไขมันที่ลดลงแล้ว เรายังสูญเสียโปรตีน(กล้ามเนื้อ)ไปด้วย (การที่เราสูญเสียกล้ามเนื้อไประหว่างลดน้ำหนักจะทำให้คนที่ทานยาลดน้ำหนัก สัดส่วนจะลดลงไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น และจะเป็นการลดที่สัดส่วนไม่กระชับอีกด้วย)
เมื่อร่างกายสูญเสียโปรตีนร่างกายเราจะเผาผลาญน้อยลง นอกจากนี้จากการทานอาหารที่ได้พลังงานที่น้อยเกินไป ร่างกายเราจะมีการปรับตัวเพราะเข้าใจผิดว่าอยู่ในสภาวะขาดอาหาร ร่างกายจะเริ่มหาวิธีประหยัดพลังงานซึ่งจะทำให้อวัยวะต่างๆทำงานน้อยลง ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญน้อยลง ยิ่งเราทานยาลดน้ำหนักนานเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเสียโปรตีน (กล้ามเนื้อ )ไปมากเท่านั้น และยิ่งทำให้ร่างกายเราทำงานน้อยลงเท่านั้น และร่างกายเราก็จะยิ่งเผาผลาญน้อยลงเท่านั้น และเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้อยลงไปเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งลดน้ำหนักยากและน้ำหนักเพิ่มง่าย  เช่น ปกติร่างกายเราอาจจะเผาผลาญประมาณ 2,000กิโลแคลอรี่/วัน หลังจากทานยาลดน้ำหนักไปซักพักหนึ่งแล้ว ระดับการเผาผลาญอาจลดลงเป็น 1,200-1,500กิโลแคลอรี่/วัน(หรือต่ำกว่า) และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ


จุดเริ่มต้นของโยโย่
เมื่อคนที่ทานยาลดน้ำหนักหยุดทาน แม้ว่าช่วงแรกๆอาจจะยังทานอาหารน้อยเพราะพึ่งจะเลิกทานยา ยังชินกับการทานน้อยๆ แต่เมื่อผ่านไปซักพักก็จะกลับมาทานในระดับปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะได้พลังงานจากอาหารที่เราทานเฉลี่ยประมาณ2,000กิโลแคลอรี่/วัน ถ้าร่างกายเราเป็นปกติจะเผาผลาญพลังงานประมาณ 2,000กิโลแคลอรี่/วันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ผลจากการทานยาลดน้ำหนักทำให้การเผาผลาญของเราลดลงตาม ลองคิดดูว่า หากเราได้พลังงานจากการทานอาหารวันละ2,000กิโลแคลอรี่ แต่ร่างกายเราเผาผลาญ (ใช้) เพียงวันละ 1,200-1,500กิโลแคลอรี่ พลังงานส่วนที่เหลือร่างกายก็จะเก็บเอาไว้ใช้ โดยร่างกายก็จะเก็บในรูปของไขมัน พลังงานส่วนเกินนี้จะทำให้ร่างกายเราสะสมไขมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักเราก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ(เพิ่มเดือนละประมาณ 3 กิโลกรัม) 

สรุปก็คือหากใครทานยาลดน้ำหนัก เมื่อไหร่ก็ตามที่กลับมาทานอาหารปกติ น้ำหนักตัวจะกลับมาเพิ่ม(โยโย่) อย่างแน่นอน100% 

ยาหยุดไม่ช่วยอะไร อาจจะยิ่งทำลาย
บางคนอาจจะได้รับการบอกกล่าวจากหมอว่า มียาหยุดไม่ต้องห่วงโยโย่ ความจริงแล้วยาหยุดก็คือยาตัวเดิมแต่อาจจะมีปริมาณยาน้อยลง เหมือนทานยาพิษที่น้อยลงแต่นานขึ้น การทานยาหยุดไม่ได้ทำให้การเผาผลาญที่สูญเสียไปกลับคืนสู่สภาพปกติ แค่ช่วยให้ร่างกายค่อยๆปรับตัวได้เท่านั้นเอง ตรงกันข้าม ช่วงที่เราทานยาหยุดจะเป็นช่วงที่เราขาดสารอาหารด้วย ก็จะเป็นการเพิ่มช่วงเวลาทำลายการเผาผลาญของเรา จะยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้นง่ายด้วย
^^ วิธีการที่ลดความอ้วนได้ดีที่สุดก็คือออกกำลังกาย ทั้งได้ผลและง่ายด้วยนะคะ


ที่มา : shape2u.com

ความคิดเห็น